Menu
ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ smartgrowthamerica
นัตเชซ์ มิสซิสซิปปี สถานที่ที่ซ่อนประวัติศาสตร์และความยิ่งใหญ่แห่งวิถีชีวิตทางตอนใต้ที่กำลังดำเนินไปอย่างเมืองริมแม่น้ำที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 300 ปี และขึ้นชื่อในเรื่องของบ้านและโบสถ์ตาง ๆ วันนี้เราจะพาไปแนะนำ 3 สถานที่ควรไปใน นัตเชซ์ มิสซิสซิปปี
ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ natcheztracetravel
ลองวูด เป็นหนึ่งในบ้านที่น่าสนใจที่สุดในบรรดาบ้านทั้งหมดในนัตเชซ์ ด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยงามและการออกแบบที่น่าทึ่ง หากคุณได้มาเยือนที่แห่งนี้ คุณก็จะสังเกตเห็นโดมรูปหัวหอมขนาดใหญ่วางอยู่บนบ้านทรงแปดเหลี่ยมที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของลองวูด
ลองวูด เริ่มก่อสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2402 หรือประมาณ 160 ปีที่แล้ว และเป็นที่น่าเสียดาย ที่เจ้าของบ้านได้เสียชีวิตลงก่อนที่บ้านหลังนี้จะสร้างเสร็จ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมชั้นบนของบ้านหลังนี้ถึงยังไม่สมบูรณ์ เพราะยังสร้างไม่เสร็จนั่นเอง (จนถึงทุกวันนี้ มีเพียงไม่กี่ห้องเท่านั้นที่สร้างเสร็จ)
ปัจจุบัน ลองวูด เป็นบ้านที่ ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของนัตเชซ์ คุณสามารถทัวร์ชมบ้านและอ่านประวัติของบ้านได้ฟรี และอย่าลืมเดินเที่ยวในบริเวณรอบ ๆ ด้วย โดยมีค่าเข้าชมอยู่ที่ 25 ดอลล่าร์หรือประมาณ 875 บาท
ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ bigdaddydavesbitsandpieces
คฤหาสน์หลังนี้มีการตกแต่งภายในที่สวยงามที่สุดในบรรดาบ้านสมัยก่อนในนัตเชซ์ การออกแบบที่สวยงามของคฤหาสน์ทำให้กลายเป็นที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ผู้คนอยากมาเยือนมากแห่งหนึ่ง และเป็นแรงบันดาลใจให้เจ้าของบ้านอื่น ๆ ในภูมิภาคเกิดการเลียนแบบตามมา
การออกแบบสไตล์กรีกนี้ สร้างขึ้นโดยมหาเศรษฐีคนหนึ่ง ต่อมาในปีพ. ศ. 2406 หลังการรบที่วิกส์เบิร์ก นายพลแกรนท์ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชากองกำลังสหภาพได้สั่งให้ใช้บ้านนี้เป็นสำนักงานใหญ่ตลอดช่วงสงคราม
ปัจจุบัน ภายในคฤหาสน์ มีสิ่งประดิษฐ์และเฟอร์นิเจอร์เก่าแก่ทุกประเภทตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 และได้รับการขึ้นเป็นทะเบียนเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการ โดยมีค่าเข้าชม 20 ดอล่าร์หรือประมาณ 700 บาท
ขอบคุณรูปภาพจากเว็บไซต์ visitnatchez
สแตนตันฮอลล์ ในนัตเชซ์ แห่งนี้ สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2393 หรือประมาณ 170 ปีที่แล้ว และมีมูลค่ารวมกว่า 83,000 ดอลล่าร์ หรือราว 3 ล้านบาท
บ้านหลังนี้เป็นแบบจำลองของบ้านเก่าในไอร์แลนด์ การตกแต่งภายในมีความประณีตอย่างมาก ประกอบด้วยหินอ่อนอิตาลีและโคมไฟระย้าแก้ว ต่อมาในปีพ. ศ. 2433 ที่ดินผืนนี้ได้กลายเป็นที่ตั้งของ มหาวิทยาลัยหญิงล้วน Stanton และในปีพ. ศ. 2483 ก็ได้เริ่มเปลี่ยนเป็นบ้านและพิพิธภัณฑ์ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งสถานที่ทางประวัติศาสตร์แห่งชาติของ โดย ค่าเข้าชมอยู่ที่ 25 ดอลล่าร์หรือประมาณ 875 บาท